กลยุทย์ โครงการสิวารัตน์ 10 บางเลน และโครงการอื่นๆ 7. 8. 9.









Type any name to tag:
 
· · แชร์ · แก้ไขแก้ไข
 
ปัญหาที่ผู้ประกอบการ SME ถามเข้ามาบ่อยในเว็บนี้ ก็คือ เรื่องการตั้งราคาสินค้า เนื่องจากการขายของผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น แม้ว่าจะไม่มีพรมแดน เรื่องการสั่งซื้อ แต่ก็จะมีปัญหาค่าขนส่งซึ่งเมื่อบวกค่าสินค้าเข้าไปแล้ว ลูกค้าบางคนอาจจะรู้สึกว่า “ซื้อแพง” ?

เมื่อย้อนไปดูพื้นฐานของการตั้งราคาสินค้าในช่องทางการขายปกตินั้น เราคำนึงถึง 3 ปัจจัยต่อไปนี้

1. ต้นทุนการผลิตสินค้า
ตั้งแต่วัตถุดิบ การขนส่งวัตถุดิบมาเพื่อแปรรูป พัฒนาคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่าย

2. ราคาของคู่แข่งขัน
หาก สินค้าเราไม่ใช่สินค้าใหม่ถอดด้ามก็ต้องคำนึงถึงราคาของสินค้าคู่แข่งที่ วางตลาดไว้ หากเทียบคุณภาพแล้ว ใกล้เคียงกัน เราก็ไม่สามารถที่จะตั้งราคาสูงกว่าเขาได้ แต่ถ้ามั่นใจว่าสินค้าเรามีคุณภาพดีกว่า เราก็สามารถที่จะทำราคาเหนือคู่แข่งด้วย ที่สำคัญต้องให้ลูกค้า หรือผู้ซื้อรู้สึกเช่นนั้นด้วย เขาจึงจะยอมจ่ายแพงกว่า

3. ค่าดำเนินการต่างๆ
ราคา สินค้าที่ผู้บริโภคคนสุดท้ายจ่ายในปัจจุบันนั้น ได้รวมถึงค่าโฆษณา ค่าฝากขาย และค่าดำเนินการต่างๆ อย่างมากมาย แม้แต่ในอินเทอร์เน็ตเอง การที่ลูกค้าใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าของเราบนเว็บไซต์ ธนาคารก็คิดค่าธรรมเนียม 3-5% ของราคาขายด้วย

ปัจจัยดังกล่าวนี้ ล้วนมีผลในการตั้งราคาขายสินค้าทั้งสิ้น

แต่ การขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตนั้น สามารถลดต้นทุนในค่าดำเนินการต่างๆ ไปได้มาก เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าพนักงานขาย ค่าน้ำ ค่าไฟ ดังนั้นจึงทำให้ต้นทุนส่วนนี้ สินค้าหลายประเภทจึงสามารถตั้งราคาขายได้ต่ำกว่าช่องทางการค้าปกติ

อีก ประการหนึ่งการขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตนั้น ผู้ประกอบการ SMEs ไม่จำเป็นต้อง สต๊อกสินค้าเป็นจำนวนมาก เพราะลองทำ สินค้าตัวอย่างขึ้นมา แล้วประชาสัมพันธ์ให้คนเข้ามาดู หากสนใจจึงค่อยผลิต โดยวิธีการเหล่านี้ก็ช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบได้มาก และเมื่อผลิตแล้วก็สามารถสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด

อย่าง ไรก็ตาม หากจำหน่ายสินค้าที่จับต้องได้ (ไม่ใช่ซอฟต์แวร์ ซึ่งเมื่อผู้ซื้อชำระเงินเสร็จแล้วก็สามารถดาวน์โหลดได้ทันที-ไม่ต้องมีค่า ขนส่ง) ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายค่าขนส่งอยู่ดี ผู้ประกอบการบางรายที่คิดจะทำการค้าขายในต่างประเทศ จึงเกรงว่าหากตั้งราคาสินค้า 10 เหรียญ แต่เมื่อรวมค่าส่ง 20 เหรียญแล้ว ผู้ซื้ออาจจะลังเลไม่ซื้อสินค้านั้นก็ได้

แนวคิดการตั้งราคาบนอินเทอร์เน็ตของผู้ประกอบการในเว็บปัจจุบัน จึงแยกออกเป็น 2 แนวทาง
1. คิดราคาค่าขนส่งรวมกับราคาสินค้า
โดย หาค่าเฉลี่ยของค่าขนส่งกลุ่มเป้าหมายปลายทาง แล้วบวกรวมกับค่าสินค้า โดยแง่นี้ลูกค้าก็จะไม่รู้ค่าขนส่ง เมื่อประมาณราคาสินค้าว่าเหมาะสมกับมูลค่าที่ตนยินยอมจ่ายแล้ว เขาก็จะตัดสินใจซื้อ

2. คิดราคาค่าขนส่งแยกกับราคาสินค้า
โดย วิธีนี้ก็จะเป็นธรรมกับผู้ซื้อ เพราะหากผู้ซื้ออยู่ ทวีปเอเชียแต่ต้องจ่ายค่าขนส่ง ที่รวมกับค่าสินค้าเท่ากับ ผู้ซื้อปลายทางที่อเมริกาแล้ว เขาก็รู้สึกว่าแพงเกินไป ในกรณีเช่นนี้ผู้ขายเองก็ต้องพยายามจัดสินค้า ให้เหมาะสมกับ น้ำหนักขั้นต่ำที่บริษัทฯ ขนส่งคิด เพื่อที่ลูกค้าจะ ได้ไม่รู้สึกว่า ตนต้องรับภาระค่าขนส่ง มากเกินไป เช่น ถ้วยกาแฟเปล่าๆ น้ำหนัก 200 กรัม ราคา 3 เหรียญ แต่เสียค่าส่ง 10 เหรียญ ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายเงินค่าสินค้า แค่ถ้วยกาแฟเปล่า ทั้งหมด 13 เหรียญ แต่หากผู้ขายจัดจานรองถ้วยกาแฟ พร้อมช้อนคน ขายเป็นชุด แม้น้ำหนักจะเพิ่มเป็น 500 กรัม ค่าสินค้าจะเพิ่มเป็น 4 เหรียญ แต่ค่าขนส่งยังคงเท่าเดิม ลูกค้าที่ซื้อชุดถ้วยกาแฟ+จานรอง+ช้อนในราคา 14 เหรียญ ก็จะรู้สึกคุ้มค่ากว่า

เรื่องเหล่านี้จึงเป็นแนวคิด ให้ผู้ประกอบการพิจารณา เพื่อตั้งราคาสินค้า แต่อย่าลืมว่า “สินค้า” บนอินเทอร์เน็ตนั้น มีอยู่มากมาย ผู้ซื้อมี โอกาสเปรียบเทียบราคาได้ตลอดเวลา บางเว็บที่มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยขายสินค้าได้เลย บางทีต้องหันมาพิจารณาเรื่องของ “ราคาขาย” ที่ตนตั้งเหมือนกันว่า “น่าซื้อหรือเปล่า?”

ที่มา : www.itforsme.com

Book : The Art of Pricing เอาชนะด้วยกลยุทธ์การตั้งราคา(Marketeer/02/49)
การตั้งราคาสินค้าหรือบริการ (pricing) ไม่ใช่แค่การกำหนดสนนราคาเสนอขาย เพื่อให้ได้กำไรตามเป้าหมายเท่านั้น แต่การกำหนดราคายังสามารถเป็นกลไกสำคัญในแผนการตลาด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้เช่นเดียวกับเครื่องมือทางการตลาดชนิดอื่นๆ  จาก The Art of Pricing ที่เขียนโดย Rafi Mohammed นั้น กลยุทธ์การกำหนดราคามีศักยภาพมาก ถึงขั้นพลิกสถานการณ์ของธุรกิจได้ และเป็นกุญแจผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว



ไม่ใช่แค่ "ตัวเลข"

"ราคา" ในความคิดของคนทั่วไปนั้นมักมีความหมายถึงแค่ "ตัวเลข" หรือราคาที่เหมาะสมเพียงราคาเดียว ส่วนใหญ่กำหนดโดยคำนึงถึงจุดคุ้มทุน ปริมาณที่คาดว่าจะขายได้ และเป้าหมายว่าจะทำกำไรให้ได้เท่าไร สำหรับ Rafi Mohammed การกำหนดราคาสินค้าและบริการควรมีกระบวนการคิดที่ซับซ้อนกว่านั้น ต้องคำนึงวัตถุประสงค์ทางการตลาดและเป้าหมายของธุรกิจในระยะยาว



ดังนั้นการตั้งราคาสินค้าจึงควรมีชั้นเชิงมากกว่านั้น เช่น การกำหนดราคาหลายระดับขั้น การตั้งราคาให้สอดคล้องกับมูลค่า (value) ของสินค้า และการเพิ่มมูลค่าของสินค้าเพื่อให้เหมาะสมกับราคาที่ผู้บริโภคยินดีจ่าย  หากคุณยังนึกภาพไม่ออก ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้



จานละเท่าไรดีนะ

Rafi ยกตัวอย่างเพื่อนของเขาคนหนึ่งชื่อเดฟ เพื่อนคนนี้ชอบทำอาหารมากและลงทุนไปร่ำเรียนการทำอาหารมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เขาสั่งสมประสบการณ์จากการทำงานในภัตตาคารหลายแห่ง ในที่สุดเดฟก็เปิดภัตตาคารของตนเองบ้าง เขาโทรศัพท์มาบอกข่าวพร้อมทั้งปรึกษาว่า เขาควรจะตั้งราคาอาหารอย่างไรดี



เดฟอยากให้ Rafi ช่วยตัดสินใจว่า สเต๊กกับเห็ดมอร์เรลจานเด็ดของเขาควรจะราคา 18 ดอลลาร์ (ประมาณ 700 บาท) หรือ 31 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,200 บาท) ดี  แน่นอนที่สเต๊กราคา 18 ดอลลาร์ กับ 31 ดอลลาร์ ย่อมส่งผลต่อจำนวนลูกค้าของร้าน  แต่พอถามไถ่กันแล้วเดฟกลับบอกว่า "ฉันไม่อยากให้ในร้านมีแต่พวกผู้ดีมีเงินหรอกนะ ฉันอยากดึงลูกค้ากลุ่มอื่นๆ มาชิมอาหารของร้านเราบ้าง แต่ฉันก็อยากให้ร้านมีกำไรดีด้วยเหมือนกัน" 



โจทย์ที่ซับซ้อน

เห็นได้ว่า ตอนนี้โจทย์ของเดฟไม่ได้อยู่แค่ต้องการกำไรเท่าไรจากสเต๊กแต่ละจานเท่านั้น แต่เขายังต้องการขยายฐานลูกค้าไปพร้อมๆ กับดำเนินธุรกิจให้มีกำไรงาม   Rafi ชี้ให้เห็นว่า ลูกค้าแต่ละกลุ่มจะให้มูลค่า (value) แก่อาหารของเดฟไม่เท่ากัน  ขณะที่คนร่ำรวยฐานะดีคุ้นเคยกับอาหารรสเลิศราคาแพง แต่คู่สามีหนุ่มสาวซึ่งยังมีภาระผ่อนบ้านนั้น อาจต้องคิดแล้วคิดอีกกว่าจะตัดสินใจมาฉลองครบรอบแต่งงานที่ร้านของเดฟ และยังมีงบประมาณน้อยกว่าลูกค้ากลุ่มแรกด้วย 



ดังนั้น การตั้งราคาอาหารและบริการในร้าน จึงไม่สามารถคิดแค่ว่าสเต๊กควรราคา 18 ดอลลาร์ หรือ 31 ดอลลาร์เท่านั้น  พวกเขาต้องหาวิธีกำหนดราคาอาหารที่สามารถดึงลูกค้าอย่างคู่สามีภรรยาหนุ่มสาว เพื่อขยายฐานลูกค้า ขณะเดียวกันก็ต้องสามารถดึงลูกค้ากลุ่มที่ยินดีจ่ายแพงกว่าด้วย เพื่อทำกำไร



ต่างกลุ่ม ต่างราคา

หลังจากปรึกษาหารือกัน โดยพิจารณาจากเป้าหมายทางธุรกิจของเดฟ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว ในที่สุดทั้งคู่ก็กำหนดกลยุทธ์การตั้งราคาขึ้นมาชุดหนึ่งซึ่งมีราคาแตกต่างกันไปสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ได้แก่

                - ราคาลดพิเศษสำหรับลูกค้า "Early bird” คือลูกค้าที่มาช่วงหัวค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้านยังไม่ค่อยมีลูกค้านัก

                - สมาชิกพิเศษ ที่เสียค่าสมาชิกปีละ 200 ดอลลาร์ แต่ได้ลดราคาอาหาร 25% ทุกมื้อ ตลอดปี

                - ราคาลดพิเศษสำหรับอาหารชุดครบสูตร

                - เมนูลดพิเศษสำหรับคนที่นั่งกินที่เคาน์เตอร์บาร์

                - ราคา (แพง) พิเศษ สำหรับโต๊ะพิเศษ ที่จะได้พูดคุยกับเชฟคนเก่งเป็นการส่วนตัว

แน่นอนที่เดฟอาจได้กำไรน้อยหน่อยจากลูกค้าที่เป็น "Early bird" แต่เขาได้กำไรมากขึ้นจากลูกค้าในกลุ่มอื่นๆ และได้กำไรงามจากลูกค้าโต๊ะพิเศษที่ยินดีจ่ายแพงกว่าใคร เพื่ออภิสิทธิ์ในการพบเชฟผู้สร้างสรรค์อาหารรสเลิศและบริการดีกว่าใคร  การมีหลายระดับราคา ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ร้านของเดฟจึงสามารถดึงลูกค้าเข้ามาได้หลากหลายกลุ่ม และมีโอกาสขยายฐานลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ภายใน 6 เดือน ภัตตาคารของเดฟก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว



มูลค่าในใจลูกค้า

คนส่วนใหญ่มักคิดว่า ราคาของสินค้าและบริการนั้นขึ้นอยู่กับ "ต้นทุนของผู้ขาย"  แต่ที่จริงแล้ว ผู้ขายไม่ได้กำหนดราคาจากต้นทุนเพียงอย่างเดียว ถ้าดูจากราคาอาหารของเดฟ จะเห็นว่า อาหารเมนูเดียวกันที่เสิร์ฟให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่มนั้นล้วนมีต้นทุนเท่ากัน แต่ทำไมเมื่อตั้งราคาต่างกัน ลูกค้าแต่ละกลุ่มถึงยอมรับและยินดีจ่ายตามนั้น



 ที่จริงแล้ว ในกระบวนการคิดของลูกค้านั้น เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องต้นทุนเพียงอย่างเดียว  แต่ละคนจะมี "มูลค่าในใจ" สำหรับสินค้าแต่ละชิ้นอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับได้ หากสินค้าของคุณอาจจะราคาแพงหน่อยแต่สอดคล้องกับมูลค่าในใจของเขาพอดี 



ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ  กุ้ง  ในสหรัฐฯ นั้น กุ้งเป็นของหายากและเป็นอาหารราคาแพง  แต่นั่นกลายเป็นอดีตไปแล้ว เพราะปัจจุบัน สหรัฐฯ มีการนำเข้ากุ้งจากเอเชียและละตินอเมริกาเป็นจำนวนมาก (90% ของกุ้งทั้งหมดที่มีขายในท้องตลาด) ดังนั้นผู้ค้าจึงรับซื้อกุ้งมาในราคาถูกกว่าสมัยก่อนถึง 40%  แต่ทว่า ราคาขายปลีกของกุ้งนั้นยังสูงเท่าเดิม บางเจ้ายังขึ้นราคาเพิ่มขึ้นทุกปีด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ผู้บริโภคยังรับรู้มูลค่าของกุ้งในระดับเดิม ดังนั้นจึงยอมซื้อกุ้งในราคาเดิมหรืออาจจะซื้อแพงกว่าด้วยซ้ำเพื่อให้ได้กุ้งที่ตัวใหญ่กว่า และคุณภาพดีกว่า



สินค้าของคุณมีมูลค่าเท่าไร

คุณคงเห็นแล้วว่า มูลค่า (value) ของสินค้าในใจผู้บริโภคนั้นมีบทบาทอย่างมากต่อการกำหนดราคาสินค้า ยิ่งสินค้ามีดูมีค่ามากเท่าไร ก็ยิ่งตั้งราคาได้สูงเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้มีกำไรมากขึ้น และทำให้ธุรกิจเติบโตเร็วขึ้นด้วย ดังนั้น คุณควรวิเคราะห์ดูว่าสินค้าของคุณมีมูลค่าเท่าไรในใจผู้บริโภค หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ก็อาจใช้ 5 ขั้นตอนต่อไปนี้



ขั้นตอนที่ 1 ราคาและศักยภาพของคู่แข่ง

แรกทีเดียวให้สำรวจดูก่อนว่า ในตลาดตอนนี้มีคุณมีคู่แข่งรายใดบ้าง หรือมีผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่นำมาใช้แทนสินค้าของคุณได้ รวมทั้งราคาของสินค้าและผลิตภัณฑ์เหล่านั้นด้วย เนื่องจากลูกค้าจะนำราคาของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับราคาสินค้าของคุณแน่นอน



ขั้นตอนที่ 2 คุณสมบัติของคู่แข่ง

ขั้นต่อมาให้พิจารณาว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งของคุณแล้ว สินค้าของคุณมีคุณสมบัติเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร มีจุดด้อย จุดเด่นตรงไหน ยิ่งสินค้าของคุณมีคุณสมบัติที่หาได้ยากเพียงใด ผู้บริโภคก็จะให้คุณค่าแก่สินค้าของคุณมากขึ้นเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติในที่นี้ไม่ได้มีแต่คุณภาพและการใช้งานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคุณสมบัติอื่นๆ ที่มีผลต่อคุณค่าของสินค้าด้วย เช่น การบริการลูกค้า ชื่อเสียง และภาพลักษณ์ในใจลูกค้า เป็นต้น



ขั้นตอนที่ 3 รายได้

รายได้ในที่นี้หมายถึง รายได้ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ถ้าลูกค้ามีรายได้มากขึ้น เขาก็ยินดีจ่ายมากขึ้น ดังนั้นการตั้งราคาสินค้าจึงต้องคำนึงด้วยว่า เป็นระดับราคาที่ลูกค้าจ่ายได้หรือไม่ หรือมีทางเลือกให้เขาหรือไม่ เช่น ให้จ่ายแบบผ่อนส่ง แทนที่จะจ่ายทีเดียวเป็นเงินก้อนโต



ขั้นตอนที่ 4 ราคาของสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง

ราคาของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ต้องใช้ร่วมกับสินค้าของคุณอาจมีผลต่อความต้องการซื้อสินค้า (Demand) ของลูกค้าเป้าหมายของคุณด้วย เช่น หากคุณเป็นผู้ผลิตเครื่องบินเครื่องยนต์เดี่ยวที่คนนิยมซื้อเป็นเครื่องบินส่วนตัว การที่อัตราค่าใช้สนามบินเพิ่มขึ้นย่อมส่งผลต่อ demand ของสินค้าคุณด้วย เพราะเมื่อคำนวณค่าเครื่องบินรวมกับค่าใช้สนามบินที่เพิ่มขึ้นแล้ว ลูกค้าเป้าหมายอาจตัดสินใจว่าการมีเครื่องบินส่วนตัวนั้นแพงเกินไป



ดังนั้น หากคุณต้องการคง Demand ไว้ ก็ต้องกำหนดราคาเครื่องบินไม่ให้แพงเกินไปเมื่อคิดรวมกับค่าใช้สนามบินแล้ว



ขั้นตอนที่ 5 สภาพแวดล้อมของตลาด

สินค้าของคุณจะมีมูลค่าเท่าไร และราคาเท่าไหร่นั้น ต้องดูที่สภาพแวดล้อมของตลาดในเวลานั้นด้วย ถ้าในขณะนั้นตลาดกำลังมีความตื่นตัว ผู้คนสนใจสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกับคุณมาก และคุณมีสินค้าที่เด่นกว่าเจ้าอื่น คุณก็ตั้งราคาให้สูงได้ เช่น ถ้าคุณเป็นคุณหมอที่คิดจะเปิดคลินิกส่วนตัว เมื่อพิจารณาจากสภาพตลาดในตอนนั้นแล้ว เห็นว่า ผู้คนหันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น  มีการรณรงค์ให้คนตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ทั้งโรงพยาบาลและคลินิกส่วนตัวมีลูกค้ามากมายแทบทุกวัน คุณอาจเสนอบริการระบบสมาชิก คือลูกค้าต้องเสียค่าสมาชิกเป็นรายปีนอกเหนือจากค่าตรวจรักษา ซึ่งรวมแล้วอาจจะแพงกว่าโรงพยาบาลและคลินิกทั่วไป แต่ลูกค้าจะได้รับความสะดวกในการนัดหมาย ไม่ต้องรอคิวยาวๆ และสามารถโทรมาปรึกษาปัญหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ



คุณคงเห็นแล้วว่า การกำหนดราคานั้นมีช่องทางและลูกล่อลูกชนให้ใช้ได้มากมายหลากหลายวิธี ด้วยกลยุทธ์ทางด้านราคา คุณสามารถสร้างมูลค่าให้สินค้าและบริการที่มีอยู่เดิม เพียงแต่ต้องใช้เวลาและวิเคราะห์ให้รอบคอบหน่อยเท่านั้น คุณก็จะพบสมบัติที่ซ่อนอยู่ในสินค้าและบริการของคุณ ดังนั้น ก่อนจะคิดลงเงินลงแรงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจ คุณควรหันกลับมาทบทวนก่อนว่า สินค้าและบริการที่มีอยู่แล้วนั้น มีการกำหนดราคาที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ และมีการใช้กลยุทธ์ด้านราคาได้เต็มศักยภาพแล้วหรือยัง



(ล้อมกรอบ)

เกี่ยวกับผู้เขียน

Rafi Mohammed เป็นผู้อำนวยการของ Simon-Kucher & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านราคา (Pricing) ที่มีชื่อเสียงมาก  เขาจบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล และเป็นผู้แต่งร่วมของหนังสือ Internet Marketing: Building Advantage in a Networked Economy  หนังสือ The Art of Pricing ของเขาเล่มนี้จะเป็นแนวทางที่มีประโยชน์มาก ในการใช้กลยุทธ์ด้านราคา เพื่อดึงเอากำไรที่ซ่อนอยู่ในสินค้าที่มีอยู่ และค้นหาโอกาสในการทำให้ธุรกิจเติบโต

ความคิดเห็น